รูปทรงหลังคา 6 ประเภท ที่นิยมในเมืองไทย

ในการสร้างบ้านแต่ละครั้งการเลือกรูปทรงหลังคาสิ่งที่สำคัญอย่างมากทั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างและผู้อยู่อาศัยเอง เพราะรูปทรงหลังคาจะคอยทำหน้าที่กันแดด กันลม กันฝนทั้งภายในและภายนอกของบ้านหรืออาคาร ซึ่งประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นมีฝนตกชุกตลอดปี ส่วนใหญ่รูปทรงหลังคาบ้านก็เลยเป็นหลังคาทรงหน้าจั่ว แต่ในประเทศไทยยังมีรูปทรงหลังคาอีกหลายประเภทที่ผู้รับเหมาก่อสร้างนิยมเลือกใช้กัน ในบทความนี้เราจะนำเสนอรูปทรงหลังคาที่นิยมที่สุดในประเทศไทยซึ่งมี 6 รูปทรงดังนี้

• รูปทรงหลังคาทรงหน้าจั่ว (Gable Roof)
• รูปทรงหลังคาทรงปั้นหยา (Hip Roof)
• รูปทรงหลังคาเพิงหมาแหงน (Lean To Roof)
• รูปทรงหลังคาแบน (Flat Slab Roof)
• รูปทรงหลังคาแบบผีเสื้อ (Butterfly Roof)
• รูปทรงหลังคาแบบร่วมสมัย (Modern& Contemporary Roof)

ข้อดี ข้อเสีย ของรูปทรงหลังคาทั้ง 6 ประเภท

ประเภทหลังคารูปแบบต่างๆ ที่นิยมใช้อยู่ทั่วไป ซึ่งหลังคาแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน พิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสม รูปแบบของหลังคาที่นิยมใช้กันมากในเมืองไทย สามารถแบ่งออกเป็น 6 รูปแบบต่างๆ ได้ดังนี้

1. หลังคาทรงหน้าจั่ว (Gable Roof)

หลังคาทรงหน้าจั่ว (Gable Roof) เป็นหลังที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทยมากที่สุด มีลักษณะเป็นหลังคาเพิงหมาแหงน 2 หลังมาชนกันมีสันสูงตรงกลางเป็นหลังคาที่มีความสะดวกในการก่อสร้าง สามารถกันแดดกันฝนได้ดีมาก และสามารถระบายความร้อนใต้หลังคาได้ดีอีกด้วย

2. หลังคาทรงปั้นหยา (Hip Roof)

หลังคาทรงปั้นหยา (Hip Roof) เป็นหลังคาที่กันแดดกันฝนได้ดีในทุกๆ ด้าน มีความโอ่อ่าสง่างาม แต่หลังคาชนิดนี้มีราคาแพง เนื่องจากเปลืองวัสดุมากกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ ตลอดจนต้องใช้ช่างที่มีฝีมือพอสมควรในการก่อสร้าง เพราะมีรายละเอียดเยอะกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ

3. หลังคาเพิงหมาแหงน (Lean To Roof)

หลังคาเพิงหมาแหงน (Lean To Roof) เป็นหลังคาที่ยกให้อีกด้านสูงกว่าอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้ดีมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับบ้านขนาดเล็กเนื่องจากก่อสร้างง่าย รวดเร็ว ราคาประหยัด แต่ข้อควรระวังคือควรให้หลังคามีองศาความลาดเอียงมากพอที่จะระบายน้ำฝนออก ป้องกันไม่ให้น้ำฝนไหลย้อนซึมกลับเข้ามาได้ ในกรณีที่มีโอกาสหรือความเสี่ยงที่น้ำฝนจะไหลย้อนซึมเข้ามาได้ก็ควรใช้ความลาดชันมากขึ้นตามลำดับ เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้รวดเร็วขึ้น

4. หลังคาทรงแบน (Flat Sab Roof)

หลังคาทรงแบน (Flat Sab Roof) มีลักษณะแบนราบคล้ายกับเป็นพื้นจึงมักถูกใช้เป็นพื้นดาดฟ้า แต่เนื่องจากรับความร้อนมากและกันแดดกันฝนไม่ค่อยได้ แต่ที่เห็นนำมาใช้กันนั้นก็จะเป็นอาคารตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์สูงหลายชั้นซะส่วนใหญ่ และอาคารที่ไม่เน้นความสวยงามของรูปทรงหลังคา

ข้อควรทำ คือ ควรจะผสมน้ำยากันซึมหรือควรมีวัสดุกันซึมปูทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้การรั่วซึมลดน้อยลงได้

5. หลังคาแบบผีเสื้อ (Butterfly Roof)

หลังคาแบบผีเสื้อ (Butterfly Roof) หลังคาชนิดนี้ประกอบด้วยหลังเพิงหมาแหงน 2 หลังหันด้านที่ต่ำกว่ามาชนกัน ไม่ค่อยเหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกชุกแบบเมืองไทยสักเท่าไหร่ เนื่องจากต้องมีรางน้ำที่รองรับน้ำฝนจากหลังคาทั้ง 2 ด้าน ทำให้รางน้ำมีโอกาสรั่วซึมได้สูง จึงไม่เป็นที่นิยมสร้างกันมากนัก ยกเว้นอาคารที่ต้องการลักษณะเฉพาะพิเศษที่แปลกตาออกไป

6. หลังคาแบบร่วมสมัย (Modern & Contemporary Roof)

หลังคาแบบร่วมสมัย (Modern & Contemporary Roof) เป็นหลังคาที่มีรูปทรงทันสมัย แตกต่างจาก 5 แบบข้างต้น และใช้วัสดุที่ทันสมัยก่อให้เกิดรูปทรงที่แปลกตา แต่ต้องระวังเรื่องความร้อนและการรั่วซึม